เราเองAnny

om%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2F104202194774103152752%2Falbumid%2F5702937388036934929%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Dth" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer">

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของบุคคล


1 สิทธิ เสรีภาพ   
              
สิทธิ เป็นเสมือนทั้งเกราะในการคุ้มกันประชาชนให้พ้นจากภัยคุกคามของกำลังอิทธิพลและอำนาจที่ไม่ยุติธรรม และเป็นเสมือนกุญแจให้ประชาชนสามารถใช้ไขไปสู่ประโยชน์ด้านต่างๆ ได้ โดยในที่นี้จะเน้นเฉพาะสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติรับรองไว้ ซึ่งมีขอบเขตครอบคลุมถึงผลประโยชน์จากโอกาสและทางเลือกอันพึงมี พึงกระทำ และพึงได้ โดยที่สิ่งนั้นไม่ถูกโต้แย้งและขัดขวางโดยกฎหมาย องค์กรรัฐเจ้าหน้าที่รัฐ และคนอื่น ทั้งนี้โดยที่ประชาชนมีอิสระตามเสรีภาพในการใช้สิทธินั้นได้ตามเจตจำนงอิสระของตนเองหรือตามความสามารถในการตกลงใจของตนเองได้ด้วย ไม่อยู่ภายใต้การบังคับกะเกณฑ์โดยอิทธิพลอย่างอื่น ทั้งนี้สามารถจำแนกสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ออกได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ คือ สาระสำคัญของสิทธิ พันธะของรัฐที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการใช้ประโยชน์จากสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สาระสำคัญของสิทธิ ได้แก่
                 1) สิทธิ เสรีภาพในความเป็นมนุษย์ เป็นสิทธิ เสรีภาพ เกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย ความคิด จิตใจ และความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งถือเป็นสิทธิจะอยู่ จะเป็น หรือเป็นสิทธิที่ติดมากับตัวของประชาชนทั้งหลาย ตั้งแต่เกิดมาเป็นคน โดยที่รัฐไม่อาจปฏิเสธความเป็นคน และศักดิ์ศรีความเป็นคนของประชาชนด้วยการกระทำที่เป็นการล่วงล้ำเกิน คุกคาม หรือละเมิดได้ เช่น การไม่ถูกลงโทษด้วยวิธีโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม การมีเสรีภาพในเคหสถานส่วนตัว เสรีภาพการเดินทาง การนับถือศาสนา การสื่อสาร คมนาคม การแสดงความคิดเห็น การมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และการเลือกถิ่นที่อยู่ เป็นต้น (ตามมาตรา 4 มาตรา 26 และมาตรา 28) ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะอยู่ จะเป็น หรือ เป็นสิทธิที่ติดมากับตัวประชาชน ก็เพราะเป็นสิทธิที่เป็นส่วนควบติดอยู่กับความเป็นคนตามธรรมชาติ โดยที่ทุกคนมีอยู่เหมือนกัน รัฐไม่อาจเข้าไปแทรกแซงให้เกิดความแตกต่าง หรือ สูญสิ้นสิทธิอันเป็นเสมือนองค์ประกอบของชีวิต จิตใจ และร่างกายนั้นได้ ดังนั้น สิทธิ เสรีภาพในความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิทธิของคนที่ห้ามไม่ให้รัฐกระทำซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ
                  2) สิทธิ เสรีภาพในความเป็นพลเมือง เป็นสิทธิ เสรีภาพเกี่ยวกับการที่สามารถเรียกร้องความต้องการขั้นพื้นฐานจากรัฐในฐานะที่เป็นราษฎรของรัฐได้ ซึ่งรัฐมีหน้าที่ให้การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิที่จะเรียกขอได้ จะรับเอาได้ หรือเป็นสิทธิที่ตามมากับตัวโดยที่งอกขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองหรือเป็นราษฎรของรัฐ โดยที่รัฐไม่อาจจะปฎิเสธความรับผิดชอบหรือความช่วยเหลือด้วยการเพิกเฉยไม่กระทำการตอบสนองตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนซึ่งรัฐมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองได้ เช่น
                - สิทธิในการรับการศึกษา (ตามมาตรา 43)
                - สิทธิของผู้บริโภค
               - เสรีภาพในการชุมนุม
                - เสรีภาพในการรวมตัวเป็นหมู่คณะ
                - สิทธิการรับข้อมูลข่าวสารจากรัฐ
                - เสรีภาพการจัดตั้งพรรคการเมือง
                - สิทธิการรับบริการสาธารณสุข
                - สิทธิการฟ้องหน่วยราชการ
                - สิทธิมีส่วนร่วมกับรัฐ
                - สิทธิคัดค้านการเลือกตั้ง
                - สิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและข้อบัญญัติท้องถิ่น
                - สิทธิการเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น  
               ทั้งนี้ ในการใช้สิทธิเสนอกฎหมายนั้นมีขอบเขตจำกัดเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพตามหมวด 3 และเกี่ยวกับนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามหมวด 5 เท่านั้น เป็นต้น
                ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะเรียกขอได้ หรือจะรับเอาได้ หรือเป็นสิทธิที่ตามมากับตัวโดยที่งอกขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองของรัฐ เพราะเป็นสิทธิที่ขึ้นอยู่กับความเป็นพลเมืองของรัฐ โดยที่การได้รับความยุติธรรมจากการใช้สิทธิสำคัญกว่าการได้รับประโยชน์จากสิทธิที่เท่ากัน เช่น พลเมืองที่เด็กได้รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี แต่พลเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ได้รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่พลเมืองที่ด้อยโอกาสจะได้รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ ทั้งที่คนปกติทั่วไปไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว
                ดังนั้นสิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมืองจึงเป็นสิทธิของพลเมืองที่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องได้รับประโยชน์เท่ากัน แต่หากเป็นสิทธิอะไรของใครก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องรับผิดชอบในการสนองตอบต่อการใช้สิทธินั้น กล่าวคือ พลเมืองที่เป็นเด็กย่อมสามารถเรียกร้องการศึกษาฟรีในภาคบังคับจากรัฐได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ก็ย่อมสามารถเรียกร้องการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ ดังนั้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิที่สงวนไว้ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดหาให้ประชาชน หรือบังคับให้รัฐจะต้องกระทำซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นปฏิฐานกับรัฐ
               3) สิทธิในความเสมอภาค เป็นสิทธิ เสรีภาพเกี่ยวกับการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันจากรัฐ หรือการไม่เลือกปฏิบัติ เว้นแต่การเลือกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสียเปรียบ ผู้ด้อยโอกาส ได้รับสิทธิโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นได้ ซึ่งถือเป็นสิทธิที่จะมีจะเหมือนหรือเป็นสิทธิ เสรีภาพที่ดำรงอยู่นอกตัวของประชาชน (มาตรา 30) โดยที่รัฐไม่อาจปฏิเสธความเป็นกลาง หรือความเป็นธรรมด้วยการละเลยเพิกเฉยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย หรือ หยิบยื่นโอกาสอันพึงมีพึงได้ให้กับประชาชนได้รับอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะความแตกต่างตามธรรมชาติ และเพราะการกระทำหรือละเว้นการกระทำของรัฐที่ไม่เท่าเทียมกัน เช่น
                -การเสมอกันในกฎหมาย
                - การไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน
                - การได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ
                - การได้รับความคุ้มครองโดยรัฐ และ
                - สิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ เป็นต้น
                ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะมีจะเหมือนหรือเป็นสิทธิ เสรีภาพที่ดำรงอยู่นอกตัวของประชาชน ก็เพราะเป็นสิทธิที่ช่วยชดเชย ความแตกต่างตามธรรมชาติของคนให้ได้รับโอกาสและศักยภาพใหม่เพิ่มขึ้น โดยที่รัฐเป็นฝ่ายช่วยเสริมสร้างหรือเกื้อหนุนให้มีความเสมอเหมือนกัน โดยที่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องได้รับประโยชน์ที่เท่ากันจากการได้รับสิทธินั้น เช่น คนทั่วไปย่อมได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายเท่าเทียมกันในการขอแจ้งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อประกอบธุรกิจ แต่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยได้เท่าเทียมกันจากการประกอบธุรกิจนั้น
         ดังนั้นสิทธิในความเสมอภาคจึงเป็นสิทธิที่รัฐให้หลักประกันในการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน แต่รัฐไม่ต้องผูกพันว่าทุกคนจะต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการใช้สิทธินั้นให้ได้เท่ากันเสมอไป
         ดังนั้นสิทธิในความเสมอภาคจึงเป็นสิทธิที่กำหนดให้รัฐดำรงฐานะของความเป็นคนกลางในการถือดุลย์ระหว่างความแตกต่างกันตามธรรมชาติของคนกับความเท่าเทียมกันตามกฎหมายและการปฏิบัติของรัฐเพื่ออุดช่องว่างไม่ให้ความแตกต่างนั้นเป็นเหตุให้เกิดเงื่อนไขของความไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม แต่ประโยชน์จากความยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องสร้างต่อขึ้นมาให้ตัวเองในภายหลังหรือไปหาเอาได้ข้างหน้า เมื่อรัฐได้ช่วยสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้แล้ว ซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นพันธะของรัฐ

1 พันธะของรัฐที่มีต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ได้แก่
1.พันธะในการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อแสวงหาให้ได้มาซึ่งอำนาจ
 เป็นการรับรองสิทธิ เสรีภาพในความเสมออำนาจของประชาชน ที่มุ่งผลต่อเป้าหมายอำนาจทางการเมืองการปกครองโดยตรง เช่น การจัดตั้งองค์กรทางการเมือง การร่วมกิจกรรมทางการเมือง และการเลือกผู้แทนทางการเมือง เข้าไปสู่อำนาจทางการเมือง หรือ ใช้อำนาจทางการเมืองให้สนองประโยชน์แก่ตนเองของประชาชน เป็นต้น
 
2.พันธะในการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อแสวงหาให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากอำนาจ
              
 เป็นการรับรองสิทธิ เสรีภาพในการผ่านลอดอำนาจของประชาชน ที่มุ่งผลต่อเป้าหมายผลประโยชน์ที่ต้องอาศัยอำนาจเป็นเครื่องมือในการจัดทำให้โดยทางอ้อม เช่น การผลักดันให้ผู้แทนออกกฎหมาย การเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดนโยบาย การเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำ หรือ งดเว้นการกระทำ เพื่อสนองประโยชน์ให้ในรูปแบบของบริการสาธารณะด้านต่างๆ เป็นต้น
 
3.พันธะในการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อแสวงหาให้ได้มาซึ่งอิทธิพลเหนืออำนาจ
              
เป็นการรับรองสิทธิ เสรีภาพในการขี่คร่อมอำนาจของประชาชน ที่มุ่งผลต่อเป้าหมายในการโต้แย้งอำนาจลบล้าง และล้มล้างอำนาจ ทั้งในฝ่ายการเมือง และฝ่ายราชการประจำ เช่น การโต้แย้งการออกกฎหมาย และการใช้กฎหมายของรัฐ การถอดถอนผู้ปกครองให้พ้นจากอำนาจ ตลอดจนการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อบังคับให้ทบทวนแก้ไขการใช้อำนาจ เพื่อทำประโยชน์ให้ประชาชนตามหน้าที่ความรับผิดชอบของส่วนราชการนั้น เป็นต้น
การใช้ประโยชน์จากสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้แก่

 
1. การขอป้องกันสิทธิของประชาชน
              
การขอป้องกันสิทธิของประชาชน เป็นการใช้ประโยชน์จากสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในเชิงรุก เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่จะมี หรือเกิดขึ้นแก่สิทธิประโยชน์ของตน เช่น การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการ การต่อต้าน โต้แย้ง และยับยั้งอำนาจรัฐที่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
2. การขอรับความคุ้มครองสิทธิของประชาชน
              
เป็นการใช้ประโยชน์จากสิทธิ เสรีภาพของประชาชนทั้งในเชิงรุก และเชิงรับ เพื่อเรียกร้องหรือร้องขอให้รัฐ หรือหน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบตอบสนองต่อสิทธิประโยชน์ของตนได้ตามความต้องการ
 
3. การขอรับการเยียวยาสิทธิของประชาชน
              
การขอรับการเยียวยาสิทธิของประชาชน เป็นการได้รับการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิของประชาชนจากรัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับการชดเชยความเสียหาย จากการถูกกระทบสิทธินั้นให้กลับคืนมา ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเชิงรับ
หน้าที่ของประชาชน
              
  หน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญต่างจากสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งมีลักษณะเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการมีโอกาส และทางเลือกที่มีอิสระตามเจตจำนงที่ประชาชนเป็นฝ่ายกำหนดความต้องการได้เอง แต่หน้าที่ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำ และต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ต้องทำตามหน้าที่นั้นโดยที่ประชาชนไม่สามารถเป็นฝ่ายกำหนดได้เองว่าจะทำ หรือไม่ทำตามหน้าที่นั้น
         ดังนั้น หากรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้กำหนดหน้าที่ไว้ว่าประชาชนมีหน้าที่ต้องทำ หรือต้องไม่ทำสิ่งใด ประชาชนก็ต้องเคารพ และทำตามโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนที่จะทำให้เกิดผลดีมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกในความรับผิดชอบ และความสามารถของประชาชนร่วมกัน ซึ่งโดยหลักพื้นฐานของการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ถือว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนนั้น สิ่งที่สำคัญที่ถือเป็นเงื่อนไขความสำเร็จของการปกครองประเทศในระบอบนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่าการปกครองที่รัฐมีการปกครองน้อยที่สุด (The less government) เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม หรือมีบทบาทให้มากที่สุดด้วย
         ฉะนั้นสิทธิ และหน้าที่ของประชาชนในฐานะที่เป็นพลเมือง จึงต้องเป็นหน้าที่ที่ประชาชนจะละเลย เพิกเฉย หรือนิ่งดูดาย หรือคิดว่าไม่ใช่ธุระไม่ได้ ต้องมีสำนึกต่อภาระหน้าที่ของพลเมืองพร้อมกันไปด้วย จึงจะทำให้ภาระหน้าที่ของความเป็นพลเมืองสำเร็จลุล่วงได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการปกครองที่รัฐและผู้ปกครองต้องเป็นฝ่ายมีบทบาทนำเสมอไป การปกครองที่รัฐปกครอง น้อยที่สุดตามเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นไม่ได้ ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยจึงมีความแตกต่างจากประชาชนในสังคมเผด็จการ เพราะประชาชนในสังคมประชาธิปไตยต้องมีบทบาทนำในฐานะที่เป็นทั้งเจ้าของอำนาจ และเป็นพลเมือง ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเป็นผู้กระทำทางการเมือง ไม่ใช่ผู้รับการกระทำทางการเมือง เหตุนี้ประชาชนในสังคมประชาธิปไตย จึงควรเป็นพลเมืองที่ต้องตื่นตัว และมีปฏิสัมพันธ์กับอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง การปกครองอยู่เสมอ ทั้งนี้ สามารถจำแนกหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญออกได้เป็น 5 ด้าน คือ
                 1) หน้าที่ของพลเมืองดี ประชาชนมีหน้าที่รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีประมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 66)
                2) หน้าที่ต่อกฎหมาย ประชาชนมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา 67)
                3) หน้าที่ทางการเมือง ประชาชนมีหน้าที่ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง(มาตรา 68 )
                 4) หน้าที่ต่อประเทศ ประชาชนมีหน้าที่ป้องกันประเทศ โดยการรับราชการทหาร เสียภาษีอากรตาม(มาตรา 69)
                5) หน้าที่ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ประชาชนมีหน้าที่ช่วยเหลือราชการ พิทักษ์ ปกป้อง และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ (มาตรา 46) และภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนมีหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรา 70)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น